แอสปาร์แตม (Aspartame)

แอสปาร์แตม (Aspartame) เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลชนิดหนึ่งที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นในห้องปฏิบัติการ ซึ่งมีความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายทั่วไปถึงประมาณ 180–200 เท่า แต่มีพลังงานต่ำมากเมื่อเทียบกับน้ำตาล เนื่องจากใช้ในปริมาณน้อยมากในการให้ความหวานในอาหารและเครื่องดื่ม
 
แอสปาร์แตมเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในฐานะสารให้ความหวานในอาหารประเภท ไดเอท (Diet) หรือ ไม่มีน้ำตาล (Sugar-free) เช่น น้ำอัดลมไดเอท หมากฝรั่ง ลูกอม เจลาติน ขนมหวานปราศจากน้ำตาล โยเกิร์ต และผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการควบคุมแคลอรี
 

โครงสร้างและองค์ประกอบทางเคมี

แอสปาร์แตมมีชื่อทางเคมีว่า

L-alpha-aspartyl-L-phenylalanine methyl ester ประกอบด้วยกรดอะมิโนธรรมชาติ 2 ชนิด คือ:

  1. แอสปาร์ติก (Aspartic Acid)
  2. ฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine)

ซึ่งถูกเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเปปไทด์ และมีหมู่เมทิล (Methyl ester) ต่อท้าย ทำให้มีรสหวานขึ้นและมีคุณสมบัติเสถียรมากขึ้นในรูปแบบผงหรือเม็ด

แอสปาร์แตมจะสลายตัวในร่างกายเป็นสารประกอบพื้นฐานคือกรดแอสปาร์ติก ฟีนิลอะลานีน และเมทานอล ซึ่งล้วนแต่สามารถพบได้ตามธรรมชาติในอาหารอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

การค้นพบและการใช้งาน

แอสปาร์แตมถูกค้นพบโดยบังเอิญในปี 1965 โดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อ James M. Schlatter ซึ่งขณะนั้นกำลังพัฒนายาเกี่ยวกับแผลในกระเพาะอาหาร และพบว่าแอสปาร์แตมมีรสหวานอย่างชัดเจน หลังจากการค้นพบ แอสปาร์แตมได้ผ่านการวิจัยและทดสอบความปลอดภัยหลายสิบปี ก่อนที่จะได้รับการอนุมัติให้ใช้เป็นสารเติมแต่งอาหารโดยหน่วยงานความปลอดภัยทางอาหารทั่วโลก

การใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร

แอสปาร์แตมมักใช้เป็นสารให้ความหวานในผลิตภัณฑ์ดังต่อไปนี้:

  • น้ำอัดลมแบบไม่มีน้ำตาล (Diet soda)
  • หมากฝรั่ง ลูกอม/ขนมหวานที่ไม่มีน้ำตาล
  • โยเกิร์ตไขมันต่ำ
  • เจลาติน ขนมเจล
  • ซีเรียลอาหารเช้า
  • ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพและควบคุมน้ำหนัก

แอสปาร์แตมไม่เหมาะสำหรับการใช้ในอาหารที่ต้องผ่านความร้อนสูง (เช่น การอบขนม) เพราะโครงสร้างของมันจะสลายตัวเมื่อถูกความร้อน จึงไม่คงความหวานเหมือนสารอื่น เช่น ซูคราโลส หรือสตีเวีย

ความปลอดภัยและปริมาณที่แนะนำ

แอสปาร์แตมได้รับการอนุมัติให้ใช้ในอาหารโดยหลายหน่วยงาน เช่น:

  • FDA (องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา)
  • WHO (องค์การอนามัยโลก)
  • EFSA (องค์การความปลอดภัยอาหารแห่งสหภาพยุโรป)

องค์กรเหล่านี้กำหนดค่า Acceptable Daily Intake (ADI) หรือปริมาณที่บริโภคต่อวันที่ยอมรับได้ โดยทั่วไปคือ:

  • 40–50 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว/วัน

เช่น ผู้ใหญ่หนัก 60 กิโลกรัม สามารถบริโภคแอสปาร์แตมได้ประมาณ 2,400–3,000 มิลลิกรัมต่อวันอย่างปลอดภัย

ข้อควรระวัง

แม้แอสปาร์แตมจะถือว่าปลอดภัยสำหรับคนทั่วไป แต่มีข้อยกเว้นสำคัญคือ:

ผู้ที่เป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria – PKU)

  • เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายไม่สามารถย่อย ฟีนิลอะลานีน ได้ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของแอสปาร์แตม หากผู้ป่วย PKU บริโภคฟีนิลอะลานีนในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อสมองและระบบประสาทได้ ด้วยเหตุนี้ อาหารที่มีแอสปาร์แตมจึงต้องมีคำเตือนบนฉลาก เช่น “มีฟีนิลอะลานีน (Contains Phenylalanine)”

สรุป

แอสปาร์แตมเป็นสารให้ความหวานที่นิยมใช้แทนน้ำตาลในอุตสาหกรรมอาหาร ด้วยคุณสมบัติให้ความหวานสูงแต่ให้พลังงานต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่หลีกเลี่ยงน้ำตาล อย่างไรก็ตาม การใช้ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม และควรระวังในกลุ่มผู้ป่วยโรค PKU

บทความที่เกี่ยวข้อง

แอสปาร์แตม (Aspartame)

แอสปาร์แตม (Aspartame) เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลชนิดหนึ่งที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นในห้องปฏิบัติการ ซึ่งมีความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายทั่วไปถึงประมาณ 180–200 เท่า แต่มีพลังงานต่ำมากเมื่อเทียบกับน้ำตาล เนื่องจากใช้ในปริมาณน้อยมากในการให้ความหวานในอาหารและเครื่องดื่ม
 
แอสปาร์แตมเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในฐานะสารให้ความหวานในอาหารประเภท ไดเอท (Diet) หรือ ไม่มีน้ำตาล (Sugar-free)  เช่น น้ำอัดลมไดเอท หมากฝรั่ง ลูกอม เจลาติน ขนมหวานปราศจากน้ำตาล โยเกิร์ต และผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการควบคุมแคลอรี
 
 

โครงสร้างและองค์ประกอบทางเคมี

แอสปาร์แตมมีชื่อทางเคมีว่า

L-alpha-aspartyl-L-phenylalanine methyl ester ประกอบด้วยกรดอะมิโนธรรมชาติ 2 ชนิด คือ:

  1. แอสปาร์ติก (Aspartic Acid)
  2. ฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine)

ซึ่งถูกเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเปปไทด์ และมีหมู่เมทิล (Methyl ester) ต่อท้าย ทำให้มีรสหวานขึ้นและมีคุณสมบัติเสถียรมากขึ้นในรูปแบบผงหรือเม็ด

แอสปาร์แตมจะสลายตัวในร่างกายเป็นสารประกอบพื้นฐานคือกรดแอสปาร์ติก ฟีนิลอะลานีน และเมทานอล ซึ่งล้วนแต่สามารถพบได้ตามธรรมชาติในอาหารอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

 

การค้นพบและการใช้งาน

แอสปาร์แตมถูกค้นพบโดยบังเอิญในปี 1965 โดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อ James M. Schlatter ซึ่งขณะนั้นกำลังพัฒนายาเกี่ยวกับแผลในกระเพาะอาหาร และพบว่าแอสปาร์แตมมีรสหวานอย่างชัดเจน หลังจากการค้นพบ แอสปาร์แตมได้ผ่านการวิจัยและทดสอบความปลอดภัยหลายสิบปี ก่อนที่จะได้รับการอนุมัติให้ใช้เป็นสารเติมแต่งอาหารโดยหน่วยงานความปลอดภัยทางอาหารทั่วโลก

การใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร

แอสปาร์แตมมักใช้เป็นสารให้ความหวานในผลิตภัณฑ์ดังต่อไปนี้:

  • น้ำอัดลมแบบไม่มีน้ำตาล (Diet soda)
  • หมากฝรั่ง ลูกอม/ขนมหวานที่ไม่มีน้ำตาล
  • โยเกิร์ตไขมันต่ำ
  • เจลาติน ขนมเจล
  • ซีเรียลอาหารเช้า
  • ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพและควบคุมน้ำหนัก

แอสปาร์แตมไม่เหมาะสำหรับการใช้ในอาหารที่ต้องผ่านความร้อนสูง (เช่น การอบขนม) เพราะโครงสร้างของมันจะสลายตัวเมื่อถูกความร้อน จึงไม่คงความหวานเหมือนสารอื่น เช่น ซูคราโลส หรือสตีเวีย

ความปลอดภัยและปริมาณที่แนะนำ

แอสปาร์แตมได้รับการอนุมัติให้ใช้ในอาหารโดยหลายหน่วยงาน เช่น:

  • FDA (องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา)
  • WHO (องค์การอนามัยโลก)
  • EFSA (องค์การความปลอดภัยอาหารแห่งสหภาพยุโรป)

องค์กรเหล่านี้กำหนดค่า Acceptable Daily Intake (ADI) หรือปริมาณที่บริโภคต่อวันที่ยอมรับได้ โดยทั่วไปคือ:

  • 40–50 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว/วัน

เช่น ผู้ใหญ่หนัก 60 กิโลกรัม สามารถบริโภคแอสปาร์แตมได้ประมาณ 2,400–3,000 มิลลิกรัมต่อวันอย่างปลอดภัย

 

ข้อควรระวัง

แม้แอสปาร์แตมจะถือว่าปลอดภัยสำหรับคนทั่วไป แต่มีข้อยกเว้นสำคัญคือ:

ผู้ที่เป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria – PKU)

  • เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายไม่สามารถย่อย ฟีนิลอะลานีน ได้ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของแอสปาร์แตม หากผู้ป่วย PKU บริโภคฟีนิลอะลานีนในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อสมองและระบบประสาทได้ ด้วยเหตุนี้ อาหารที่มีแอสปาร์แตมจึงต้องมีคำเตือนบนฉลาก เช่น “มีฟีนิลอะลานีน (Contains Phenylalanine)”

สรุป

แอสปาร์แตมเป็นสารให้ความหวานที่นิยมใช้แทนน้ำตาลในอุตสาหกรรมอาหาร ด้วยคุณสมบัติให้ความหวานสูงแต่ให้พลังงานต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่หลีกเลี่ยงน้ำตาล อย่างไรก็ตาม การใช้ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม และควรระวังในกลุ่มผู้ป่วยโรค PKU

แอสปาร์แตม (Aspartame)

แอสปาร์แตม (Aspartame) เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลชนิดหนึ่งที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นในห้องปฏิบัติการ ซึ่งมีความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายทั่วไปถึงประมาณ 180–200 เท่า แต่มีพลังงานต่ำมากเมื่อเทียบกับน้ำตาล เนื่องจากใช้ในปริมาณน้อยมากในการให้ความหวานในอาหารและเครื่องดื่ม
 
แอสปาร์แตมเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในฐานะสารให้ความหวานในอาหารประเภท ไดเอท (Diet) หรือ ไม่มีน้ำตาล (Sugar-free)
เช่น น้ำอัดลมไดเอท หมากฝรั่ง ลูกอม เจลาติน ขนมหวานปราศจากน้ำตาล โยเกิร์ต และผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการควบคุมแคลอรี
 

โครงสร้างและองค์ประกอบทางเคมี

แอสปาร์แตมมีชื่อทางเคมีว่า

L-alpha-aspartyl-L-phenylalanine methyl ester ประกอบด้วยกรดอะมิโนธรรมชาติ 2 ชนิด คือ:

  1. แอสปาร์ติก (Aspartic Acid)
  2. ฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine)

ซึ่งถูกเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเปปไทด์ และมีหมู่เมทิล (Methyl ester) ต่อท้าย ทำให้มีรสหวานขึ้นและมีคุณสมบัติเสถียรมากขึ้นในรูปแบบผงหรือเม็ด

แอสปาร์แตมจะสลายตัวในร่างกายเป็นสารประกอบพื้นฐานคือกรดแอสปาร์ติก ฟีนิลอะลานีน และเมทานอล ซึ่งล้วนแต่สามารถพบได้ตามธรรมชาติในอาหารอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

การค้นพบและการใช้งาน

แอสปาร์แตมถูกค้นพบโดยบังเอิญในปี 1965 โดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อ James M. Schlatter ซึ่งขณะนั้นกำลังพัฒนายาเกี่ยวกับแผลในกระเพาะอาหาร และพบว่าแอสปาร์แตมมีรสหวานอย่างชัดเจน หลังจากการค้นพบ แอสปาร์แตมได้ผ่านการวิจัยและทดสอบความปลอดภัยหลายสิบปี ก่อนที่จะได้รับการอนุมัติให้ใช้เป็นสารเติมแต่งอาหารโดยหน่วยงานความปลอดภัยทางอาหารทั่วโลก

การใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร

แอสปาร์แตมมักใช้เป็นสารให้ความหวานในผลิตภัณฑ์ดังต่อไปนี้:

  • น้ำอัดลมแบบไม่มีน้ำตาล (Diet soda)
  • หมากฝรั่ง ลูกอม/ขนมหวานที่ไม่มีน้ำตาล
  • โยเกิร์ตไขมันต่ำ
  • เจลาติน ขนมเจล
  • ซีเรียลอาหารเช้า
  • ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพและควบคุมน้ำหนัก

แอสปาร์แตมไม่เหมาะสำหรับการใช้ในอาหารที่ต้องผ่านความร้อนสูง (เช่น การอบขนม) เพราะโครงสร้างของมันจะสลายตัวเมื่อถูกความร้อน จึงไม่คงความหวานเหมือนสารอื่น เช่น ซูคราโลส หรือสตีเวีย

ความปลอดภัยและปริมาณที่แนะนำ

แอสปาร์แตมได้รับการอนุมัติให้ใช้ในอาหารโดยหลายหน่วยงาน เช่น:

  • FDA (องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา)
  • WHO (องค์การอนามัยโลก)
  • EFSA (องค์การความปลอดภัยอาหารแห่งสหภาพยุโรป)

องค์กรเหล่านี้กำหนดค่า Acceptable Daily Intake (ADI) หรือปริมาณที่บริโภคต่อวันที่ยอมรับได้ โดยทั่วไปคือ:

  • 40–50 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว/วัน

เช่น ผู้ใหญ่หนัก 60 กิโลกรัม สามารถบริโภคแอสปาร์แตมได้ประมาณ 2,400–3,000 มิลลิกรัมต่อวันอย่างปลอดภัย

ข้อควรระวัง

แม้แอสปาร์แตมจะถือว่าปลอดภัยสำหรับคนทั่วไป แต่มีข้อยกเว้นสำคัญคือ:

ผู้ที่เป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria – PKU)

  • เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายไม่สามารถย่อย ฟีนิลอะลานีน ได้ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของแอสปาร์แตม หากผู้ป่วย PKU บริโภคฟีนิลอะลานีนในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อสมองและระบบประสาทได้ ด้วยเหตุนี้ อาหารที่มีแอสปาร์แตมจึงต้องมีคำเตือนบนฉลาก เช่น “มีฟีนิลอะลานีน (Contains Phenylalanine)”

สรุป

แอสปาร์แตมเป็นสารให้ความหวานที่นิยมใช้แทนน้ำตาลในอุตสาหกรรมอาหาร ด้วยคุณสมบัติให้ความหวานสูงแต่ให้พลังงานต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่หลีกเลี่ยงน้ำตาล อย่างไรก็ตาม การใช้ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม และควรระวังในกลุ่มผู้ป่วยโรค PKU

บทความที่เกี่ยวข้อง