แอสปาร์แตม (Aspartame)

โครงสร้างและองค์ประกอบทางเคมี
แอสปาร์แตมมีชื่อทางเคมีว่า
L-alpha-aspartyl-L-phenylalanine methyl ester ประกอบด้วยกรดอะมิโนธรรมชาติ 2 ชนิด คือ:
- แอสปาร์ติก (Aspartic Acid)
- ฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine)
ซึ่งถูกเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเปปไทด์ และมีหมู่เมทิล (Methyl ester) ต่อท้าย ทำให้มีรสหวานขึ้นและมีคุณสมบัติเสถียรมากขึ้นในรูปแบบผงหรือเม็ด
แอสปาร์แตมจะสลายตัวในร่างกายเป็นสารประกอบพื้นฐานคือกรดแอสปาร์ติก ฟีนิลอะลานีน และเมทานอล ซึ่งล้วนแต่สามารถพบได้ตามธรรมชาติในอาหารอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
การค้นพบและการใช้งาน
แอสปาร์แตมถูกค้นพบโดยบังเอิญในปี 1965 โดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อ James M. Schlatter ซึ่งขณะนั้นกำลังพัฒนายาเกี่ยวกับแผลในกระเพาะอาหาร และพบว่าแอสปาร์แตมมีรสหวานอย่างชัดเจน หลังจากการค้นพบ แอสปาร์แตมได้ผ่านการวิจัยและทดสอบความปลอดภัยหลายสิบปี ก่อนที่จะได้รับการอนุมัติให้ใช้เป็นสารเติมแต่งอาหารโดยหน่วยงานความปลอดภัยทางอาหารทั่วโลก
การใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร
แอสปาร์แตมมักใช้เป็นสารให้ความหวานในผลิตภัณฑ์ดังต่อไปนี้:
- น้ำอัดลมแบบไม่มีน้ำตาล (Diet soda)
- หมากฝรั่ง ลูกอม/ขนมหวานที่ไม่มีน้ำตาล
- โยเกิร์ตไขมันต่ำ
- เจลาติน ขนมเจล
- ซีเรียลอาหารเช้า
- ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพและควบคุมน้ำหนัก
แอสปาร์แตมไม่เหมาะสำหรับการใช้ในอาหารที่ต้องผ่านความร้อนสูง (เช่น การอบขนม) เพราะโครงสร้างของมันจะสลายตัวเมื่อถูกความร้อน จึงไม่คงความหวานเหมือนสารอื่น เช่น ซูคราโลส หรือสตีเวีย
ความปลอดภัยและปริมาณที่แนะนำ
แอสปาร์แตมได้รับการอนุมัติให้ใช้ในอาหารโดยหลายหน่วยงาน เช่น:
- FDA (องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา)
- WHO (องค์การอนามัยโลก)
- EFSA (องค์การความปลอดภัยอาหารแห่งสหภาพยุโรป)
องค์กรเหล่านี้กำหนดค่า Acceptable Daily Intake (ADI) หรือปริมาณที่บริโภคต่อวันที่ยอมรับได้ โดยทั่วไปคือ:
- 40–50 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว/วัน
เช่น ผู้ใหญ่หนัก 60 กิโลกรัม สามารถบริโภคแอสปาร์แตมได้ประมาณ 2,400–3,000 มิลลิกรัมต่อวันอย่างปลอดภัย
ข้อควรระวัง
แม้แอสปาร์แตมจะถือว่าปลอดภัยสำหรับคนทั่วไป แต่มีข้อยกเว้นสำคัญคือ:
ผู้ที่เป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria – PKU)
- เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายไม่สามารถย่อย ฟีนิลอะลานีน ได้ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของแอสปาร์แตม หากผู้ป่วย PKU บริโภคฟีนิลอะลานีนในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อสมองและระบบประสาทได้ ด้วยเหตุนี้ อาหารที่มีแอสปาร์แตมจึงต้องมีคำเตือนบนฉลาก เช่น “มีฟีนิลอะลานีน (Contains Phenylalanine)”
สรุป
แอสปาร์แตมเป็นสารให้ความหวานที่นิยมใช้แทนน้ำตาลในอุตสาหกรรมอาหาร ด้วยคุณสมบัติให้ความหวานสูงแต่ให้พลังงานต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่หลีกเลี่ยงน้ำตาล อย่างไรก็ตาม การใช้ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม และควรระวังในกลุ่มผู้ป่วยโรค PKU